คุณภาพ (Quality) หมายถึง
คุณสมบัติโดยรวมทางประโยชน์ใช้สอยและลักษณะจำเพาะของผลิตภัณฑ์หรือการบริการ
ที่แสดงออกถึงความสามารถในอันที่จะตอบสนองต่อความต้องการทั้งที่ระบุอย่างชัดแจ้งและที่อนุมานจากสภาพการณ์และความเป็นจริงโดยทั่วไป
คุณภาพในเชิงการค้ามีบุคคล 2 ฝ่าย คือ
ฝ่ายผู้ซื้อ ที่เรียกว่า ลูกค้า (Customers)
และผู้ขายที่เรียกว่า ผู้ส่งมอบ (Supplier)
ทั้งผู้ขายและลูกค้าได้ตกลงกันว่าผู้ส่งมอบผลิตภัณฑ์หรือการบริการให้ตรงตามข้อตกลงในการซื้อขายที่ได้กำหนดลักษณะต่างของสินค้าและการบริการนั้น
ถ้าผลิตภัณฑ์หรือการบริการที่ส่งมอบมีคุณลักษณะสอดคล้องและสามารถใช้งานได้ตรงตามข้อกำหนด
(Specification) ตามที่ตกลงกันไว้ถือว่าผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นมีคุณภาพ
คาโอรุ อิชิดาวา (Kaoru Ishidawa) ได้จัดแบ่งคุณภาพออกเป็น
2 ประเภท
1.
คุณภาพแบบย้อนหลัง (Backward Looking Quality)
คือ ของเสีย ตำหนิ และข้อบกพร่องต่าง ๆ
2.
คุณภาพแบบมองไปข้างหน้า (Forward Looking Quality)
คือสินค้าที่มีคุณสมบัติที่ดี
จุดขายลักษณะดีอื่น ๆ ซึ่งทำให้สินค้าเหนือกว่าสินค้าของบริษัทอื่น ๆ
คุณภาพของสินค้าหรือบริการจะต้องเป็นไปตามที่ลูกค้าต้องการ
โดยที่สินค้าหรือบริการต้องสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้า
สร้างความเชื่อมั่นได้ว่า ลูกค้าจะเลือกใช้สินค้าหรือบริการของบริษัทต่อไป การผลิตที่ทำให้เกิดของเสียหรือของด้อยคุณภาพ
จะต้องมีวิธีการแก้ไขปรับปรุงเพื่อป้องกันการเกิดของเสีย
หรือลดจำนวนของเสียให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ นอกจากนั้น การสร้างจิตสำนึก
และความรับผิดชอบด้านคุณภาพเป็นส่วนหนึ่งในวิธีการทำงานของพนักงานทุกคน ปัญหาของทุกองค์การก็คือ
ทำอย่างไรจึงจะให้ผลผลิตและการบริการมีคุณภาพ
โดยการทำให้พนักงานมีจิตสำนึกและความรับผิดชอบในด้านคุณภาพ
พนักงานที่ดีจึงสามารถทำกำไรให้องค์การนั้นได้ในทุกสถานการณ์
ความเป็นมาของการควบคุมคุณภาพ
การควบคุมคุณภาพเริ่มมีขึ้นอย่างจริงจังในสหรัฐอเมริกาก่อนประเทศอื่นในช่วงระหว่างการทำสงครามโลกครั้งที่
2 เมื่อเกิดปัญหาด้านคุณภาพของยุทโธปกรณ์ทางด้านวัตถุระเบิด ผลิตภัณฑ์ส่วนมากขาดคุณภาพ
เนื่องจากไม่มีการตรวจสอบคุณสมบัติของวัตถุระเบิดก่อนนำไปใช้การประกันคุณภาพของวัตถุระเบิดนั้นนับว่าเป็นธุรกิจยุ่งยาก
ผู้รับสินค้าคนสุดท้ายไม่อยู่ในฐานที่จะให้ข้อมูลป้อนกลับในทันที ดังนั้นเมื่อเสร็จสิ้นสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีการนำระบบการควบคุมคุณภาพมาใช้
โดยเฉพาะกระทรวงกลาโหมของสหรัฐอเมริกาได้นำเอาการควบคุมมาตรฐานไปสู่การพัฒนา
ปรับปรุง มาตรฐานคุณภาพนี้ก็คือ MIL-Q-9858A และเมื่อสงครามโลกครั้งที่
2 ยุติลง ญี่ปุ่นได้เริ่มฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศจากสถาที่แพ้สงครามมาพัฒนาเศรษฐกิจ
โดยการผลิตสินค้าออกเพื่อนำรายได้เข้าประเทศ
สินค้าของญี่ปุ่นได้แพร่กระจายออกสู่ตลาดโลกเป็นจำนวนมาก
และเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ลักษณะที่เป็นสินค้าราคาถูก และไม่ค่อยมีคุณภาพเท่าที่ควร
ลักษณะดังกล่าวทำให้ญี่ปุ่นพยายามทุกวิถีทางที่จะพัฒนาเทคนิคการบริหารงาน
เพื่อให้เกิดคุณภาพขึ้น โดยในปี ค.ศ.1949
ญี่ปุ่นได้จัดตั้งสหภาพนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรญี่ปุ่นโดยใช้ชื่อว่า “Japanese
Union of Scientists and Engineers” ขึ้น ชื่อว่า JUSE เพื่อเป็นหน่วยงานท่เผยแพร่หลักวิชาการเกี่ยวกับการควบคุมคุณภาพในระยะแรกนั้นญี่ปุ่นได้อาศัยความรู้จากประเทศตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากสหรัฐอเมริกา
โดยในปี ค.ศ. 1950 JUSE ได้เชิญ Dr. W. Edwords Edming ดร.เดมมิ่ง
ซึ่งเชี่ยวชาญการควบคุมคุณภาพทางด้านสถิติมาบรรยายให้ผู้บริหารระดับสูง และ
วิศวกรของบริษัทอุตสาหกรรมใหญ่ของญี่ปุ่นได้รับฟังแต่ก็ยังไม่ได้ผลมากนัก
จนกระทั่งในปี ค.ศ.1960 JUSE ได้เชิญ
Dr. J. M. Juran จากสหรัฐเมริกามาบรรยายเกี่ยวกับการบริหารคุณภาพแก่ผู้บริหารระดับสูงและวิศวกรญี่ปุ่น
และได้พัฒนามาเป็น QCC (Quality Control Circle) ซึ่งเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาคุณภาพต่อมา
การควบคุมคุณภาพ (Quality Control หรือ
QC) เริ่มต้นจากไม่มีการตรวจสอบเลย
ในสมัยโบราณใช้ความไว้วางใจเป็นสำคัญ
เมื่อซื้อสินค้าหรือแลกเปลี่ยนมักจะไม่มีการตรวจสอบเมื่อพบว่าไม่ดีก็เอามาคืน ต่อมาจึงได้มีการควบคุมคุณภาพตามลำดับ ดังนี้
1.
การตรวจสอบ (Inspection) การตรวจสอบเริ่มมีมากขึ้น
เพราะสินค้าและบริการเริ่มยุ่งยากสลับซับซ้อนเริ่มเกิดความไม่ไว้วางใจ
จึงต้องมีการตรวจสอบ
2.
การควบคุมคุณภาพ (Quality Control) เป็นการใช้เทคนิคการปฏิบัติการตรวจสอบที่มีการจดบันทึก
และนำผลการบันทึกไปใช้ในการวิเคราะห์ความผิดพลาดว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร
เพื่อการกำหนดมาตรการแก้ไขให้ได้ผลิตภัณฑฺที่มีคุณภาพ
3.
การประกันคุณภาพ (Quality Assurance) เป็นการปฏิบัติการทั้งหมดที่ผู้ผลิต
เชื่อมั่นว่าผลิตภัณฑ์จะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้
โดยนำหลักการป้องกันมาใช้
ระบบคุณภาพ
ระบบคุณภาพ (Quality System) หมายถึง การดำเนินการตามกระบวนการต่าง ๆ (Process)
ประกอบด้วยกิจกรรม (Activities)
ซึ่งใช้ทรัพยากร (Resources)
ที่มีอยู่
ภายใต้โครงสร้างขององค์การ ซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยการกำหนดอำนาจหน้าที่ (Authorities)
และหน้าที่ความรับผิดชอบ (Responsibilities)
ของหน่วยงานและบุคลากร
รวมทั้งการกำหนดความสัมพันธ์ของหน่วยงานและบุคลากรในองค์การ (Relationship)
กระบวนการเหล่านี้ดำเนินไปตามข้อกำหนดขั้นตอน
และวิธีปฏิบัติงานต่าง ๆ (Procedures) ที่มีอยู่โดยผ่านการจัดการ
(Management) เพื่อให้บรรลุนโยบาย
(Policy) และวัตถุประสงค์ (Objectives)
ขององค์การ
ระบบคุณภาพของแต่ละองค์การ ย่อมมีข้อจำกัด และลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน
ซึ่งแต่ละองค์การได้กำหนดข้อกำหนดขั้นต่ำของระบบคุณภาพที่เป็นมาตรฐาน
สามารถประเมินและตัดสินเพื่อที่จะพัฒนาองค์การให้เข้าสู่ระบบคุณภาพ
มาตรฐานสากล
ระบบคุณภาพอาจแยกย่อยได้ดังนี้
1. ระบบการควบคุม (Control System) หมายถึง
กลุ่มของกลไกซึ่งเป็นส่วนของระบบการควบคุม โดยได้ออกแบบเพื่อเพิ่มโอกาส
(ความน่าจะเป็น)
ที่จะทำให้สอดคล้องกับมาตรฐานและจุดมุ่งหมายขององค์การ อาจแบ่งออกได้ดังนี้
1.1
ระบบการควบคุมแบบอัตโนมัติ
เป็นระบบการควบคุมตัวเอง สามารถวัดประเมินผลและสามารถแก้ภายในกระบวนการได้
1.2
ระบบควบคุมโดยไม่ใช้เครื่องจักร
เป็นระบบควบคุมโดยใช้ความสามารถของบุคลากรในการปฏิบัติงานในการวัดผล
การประเมินผลหรือแก้ไขกระบวนการควบคุม
2. กระบวนการควบคุม (Control Process)
เป็นกระบวนการวัดการทำงานที่เกิดขึ้นจริงในองค์การ
เป็นการเปรียบเทียบการทำงานที่เกิดขึ้นจริงกับมาตรฐานและการบริหารเพื่อแก้ไขสิ่งที่แตกต่างจากมาตรฐาน
หรือแก้ไขมาตรฐานที่ไม่สมควรมีในขั้นตอนการควบคุม
การควบคุมงานประกอบไปด้วยลำดับขั้นตอนที่สำคัญ
2.1
กำหนดเป้าหมายของการควบคุมงานให้ชัดเจน
ว่าด้วยการดำเนินการขององค์การหรือหน่วยงานนั้น มีวัตถุประสงค์หลัก
วัตถุประสงค์รองเป็นอย่างไร มีปริมาณมากน้อยเพียงใด มีปริมาณมากน้อยเพียงใด
กำหนดแล้วเสร็จหรือไม่
เพื่อใช้วัตถุประสงค์ที่กำหนดขึ้นเป็นเครื่องมือแนะนำการดำเนินงานได้อย่างถูกต้อง
2.2
กำหนดเกณฑ์ควบคุมงานและมาตรฐาน เกณฑ์ควบคุมงานนั้นหมายถึงมาตรฐานของงาน
สถิติข้อเท็จจริง และอัตราส่วนต่าง ๆ
ที่จะใช้ในการควบคุมงานให้เป็นประโยชน์ในการวินิจฉัยสั่งการและควบคุมให้งานดำเนินไปภายในกรอบที่กำหนดไว้
การกำหนดเกณฑ์การควบคุมงาน ส่วนประกอบที่สำคัญ
คือ
- เกณฑ์ควบคุมงานควรจะกำหนดไว้ล่วงหน้า
โดยการกำหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษรหรือในรูปของแผนผังก็ได้
- เกณฑ์ควบคุมงานควรมีลักษณะกะทัดรัด ง่ายต่อการทำความเข้าใจ
- เกณฑ์ควบคุมงานควรมีหลักการ และกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการพิจารณารายงานผลงาน
ทำให้สามารถพิจารณาถึงผลได้ชัดเจน และควรจะมีการปรับปรุงเกณฑ์ให้ทันสมัยอยู่เสมอ
- เกณฑ์ควบคุมงานจะต้องสอดคล้องกับแผนงานหลัก และมีส่วนเกื้อกูลต่อการประสานงาน
มาตรฐาน (Standard)
เป็นเครื่องมือที่สร้างขึ้นมาเพื่อช่วยในการควบคุม
การวัดการเปรียบเทียบระดับปริมาณ (Quantitative)
หรือคุณภาพ (Qualitative)
ซึ่งใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติงานที่สามารถพิสูจน์ได้
(Verifiable) เพื่อใช้เป็นมาตรฐานของการทำงาน การกำหนดมาตรฐานที่ดีควรมีองค์ประกอบดังนี้
- มาตรฐานที่สร้างขึ้นต้องสร้างโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ หรือมีหลักเกณฑ์
(Scientific Method) ที่เป็นรูปธรรม
มาตรฐานที่สร้างขึ้นนี้
ต้องอาศัยข้อมูลและความรู้ที่ได้จากประสบการณ์มาประกอบกันเป็นหลักในการสร้างมาตรฐาน
- มาตรฐานต้องมียืดหยุ่น
มาตรฐานที่กำหนดขึ้นมานั้นอาจใช้ได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่งเท่านั้น เมื่อเวลา
สภาพการณ์แวดล้อมต่าง ๆ เปลี่ยนแปลงไป
มาตรฐานก็ควรจะได้รับการปรับปรุงให้เข้ากับสภาพการณ์ที่มาตรฐานดำรงอยู่
- มาตรฐานจะต้องกำหนดให้เข้าใจได้ง่าย
การกำหนดมาตรฐานที่ยุ่งยากซับซ้อนมักจะทำให้ความมุ่งหมายที่กำหนดไว้ไม่บรรลุผล
เช่น การกำหนดมาตรฐานไว้สูงเกินไป ทำให้ยากต่อการที่จะปฏิบัติตาม
- มาตรฐานต้องอยู่ในรูปของหน่วยที่สามารถเปรียบเทียบได้
คุณค่าของมาตรฐานลดน้อยลงไป ถ้ามีหน่วยไม่จำกัดแน่นอนหรือคลุมเครือ
หน่วยที่ใช้เปรียบเทียบควรง่ายต่อการทำความเข้าใจและใช้ได้ทั่ว ๆ ไป
และควรจะเป็นหน่วยที่ทุกคนในองค์การคุ้นเคย
มิฉะนั้นอาจนำไปสู่ความขัดแย้งหรือการเสื่อมคุณค่าของมาตรฐานได้
- มาตรฐานจะต้องมีความเที่ยงตรง ถูกต้อง มีความคงที่เพราะถ้ามาตรฐานของการปฏิบัติงานและมาตรฐานของคุณภาพ
ไม่สามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง การใช้มาตรฐานนั้นก็ไม่เกิดประโยชน์
- มาตรฐานจะต้องเป็นเรื่องกว้าง ๆ ครอบคลุมในทุกด้าน
ของการปฏิบัติงานและยังต้องเป็นเรื่องที่ทุกคนในองค์การสามารถเข้าใจได้
- มาตรฐานต้องมีการรักษาทิศทางให้แน่นอน จะต้องมีการตรวจสอบอยู่อย่างสม่ำเสมอ
เพื่อให้เกิดผลการทำงานที่ดีและเพื่อปรับปรุงการทำงาน
การเปรียบเทียบผลงานกับมาตรฐานการนำผลการปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่กำหนดการประเมินผลการปฏิบัติงาน
(Job Evaluation) และการวัดผลงาน (Job Measurement)
เป็นปัจจัยที่มีความสำคัญมากในการควบคุมงาน
3. รูปแบบการควบคุม (Control
Type) หมายถึง
ลักษณะการควบคุมคุณภาพการดำเนินงานของ
องค์การแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด คือ
การควบคุมเพื่อการป้องกันและการควบคุมเพื่อแก้ไข
3.1
การควบคุมเพื่อการป้องกัน
การควบคุมชนิดนี้เกิดขึ้นเริ่มตั้งแต่ปัจจัยนำเข้า (Input) ระหว่างการปฏิบัติงานโดยไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงระยะของการตรวจสอบ
ทำให้รับรู้ถึงการปฏิบัติงานว่าเป็นอย่างไร
โดยการนำผลการปฏิบัติงานไปเปรียบเทียบกับเป้าหมายเพื่อจะได้ทราบว่าการปฏิบัติงานจะบรรลุเป้าหมายตามที่กำหนดหรือไม่
แม้ว่าในบางครั้งข้อมูลอาจจะไม่ถูกต้องทั้งหมด
การควบคุมเพื่อการป้องกันจึงเป็นการปรับตัวก่อนสิ้นสุดระยะการควบคุม
เป็นการค้นหาและกำหนดวิธีป้องกันไม่ให้เกิดผลการปฏิบัติงานที่ไม่พึงปรารถนาเกิดขึ้นการควบคุมเพื่อป้องกันจะช่วยให้ผู้บริหารไม่ต้องรอจนกระบวนการปฏิบัติงานสิ้นลงตามเวลาที่กำหนด
จึงจะวัดผลการดำเนินงาน
ซึ่งมักจะล่าช้าและอาจก่อให้เกิดความเสียหายมากขึ้นนอกจากนี้การควบคุมเพื่อป้องกัน
เช่น
การตรวจสอบคุณภาพของสินค้าอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันมิให้สินค้าที่ผลิตในแต่ละงวดมีคุณภาพลดต่ำลง
เป็นต้น
3.2
การควบคุมเพื่อการแก้ไข การควบคุมชนิดนี้เกิดหลังจากการปฏิบัติงานสิ้นสุดลง
การควบคุมชนิดนี้จะใช้เมื่อผู้บริหารต้องการตรวจสอบผลการดำเนินงานเพื่อพิจารณาว่าในแต่ละขั้นตอน
ผลการปฏิบัติงานเป็นอย่างไร
การควบคุมเพื่อการแก้ไขจึงเป็นการควบคุมที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อปรับปรุงสถานการณ์หลังจากที่การปฏิบัติงานได้เสร็จสิ้นลงตามกำหนดเวลาแล้ว
และผลการปฏิบัติงานที่เกิดขึ้นแตกต่างไปจากข้อกำหนดไว้
ดังนั้นการควบคุมเพื่อการแก้ไขขจึงมีจุดอ่อนอยู่ที่มักจะแก้ไขปัญหาได้ไม่ทันกาล
และถ้าปล่อยทิ้งไว้อาจจะเกิคดวามเสียหายได้
โดยทั่วไปผู้บริหารมักจะใช้การควบคุมชนิดนี้กับเรื่องที่ไม่มีความสำคัญมากนัก
สืบค้นวันที่ 15/11/2560
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น